นายมารุต สิมะเสถียร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)กล่าวถึงทิศทางธุรกิจหลังจากที่ผลประกอบการของบริษัทเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมาขาดทุนกว่า 119 ล้านบาทซึ่งเป็นผลกำที่ขาดทุนแต่มูลค่าเบี้ยเพิ่มขึ้น เนื่องจากลอซเรโช (อัตราความเสียหาย)ของพอร์ตรถยนต์สูงขึ้นถึง 10% ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาผลขาดทุนโดยจะเร่งการสร้างฐานลูกค้าใหม่ที่มีลอซเรโชต่ำอาทิ กลุ่มพนักงานข้าราชการซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถที่ใช้งานน้อยไปกลับระหว่างบ้านและที่ทำงานเท่านั้นส่วนงานที่ลอซเรโชสูงกว่า 60% บริษัทก็จะใช้วิธีเพิ่มเบี้ย หากรับไม่ไจริงๆจึงจะตัดงานออกลดภาระความเสี่ยงลงขณะที่ลอซเรโชรวมของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 50-55%
ทั้งนี้ผลขาดทุนยังมาจากผลกระทบจากเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ส่งผลให้รายได้ต่ำไม่เป็นไปตามเป้าหรือต่ำกว่ารายได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งเป็นเพราะความผันผวนของตลาดหุ้นในครึ่งปีหลังนี้ของปี 2552 นี้บริษัทจึงต้องพยามสร้างยอดขายด้านพอร์ตรถยนต์ให้สูงขึ้นโดยการหากลุ่มรับประกันรถยนต์ใหม่ ขยายไปหากลุ่มตลาดใหม่ๆโดยจะเน้นไปที่กลุ่มพนักงานราชการ ซึ่งลักษณะการใช้รถไม่มีความเสี่ยงสูงหรือบริษัทพอรับได้ (ความเสี่ยงต้องไม่สูงกว่า 65%) เพราะเป็นกลุ่มที่ใช้รถน้อยนอกจากนี้บริษัทยังจะเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้นให้กับลูกค้าดังกล่าวเป็นการดึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เข้ามา ปัจจุบันสัดส่วนกลุ่มพนักงานข้าราชกาลอยู่ที่ 30-40% ของพอร์ตงานทั้งหมด
นอกจากนี้บริษัทยังเน้นที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์รถยนต์ประเภท 3 พลัส คาดว่าจะเริ่มวางขายในต้นเดือนกันยายนนี้และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 100 ล้านบาท เมื่อถึงสิ้นปี
สินค้าที่จะออกขายในเดือนหน้านี้จะราคาถูกกว่าตลาดซึ่งอัตราเบี้ยจะอยู่ระหว่าง 6,800-6,999 บาทต่อปีเราจะขายผ่านเครือข่ายที่เรามีและผ่านทางสาขาที่มีอยู่กว่า 24 แห่งเพราะที่ผ่านมาเบี้ยจากสาขาเราเข้ามาประมาณ 30% ของเบี้ยทั้งหมดส่วนใหญ่จะเป็นฐานลูกค้าสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตามเรายังเชื่อว่าการเปิดขายสินค้าประเภท 3 พลัสนี้จะไม่กระทบฐานลูกค้าประเภท 1 เพราะลูกค้าที่ทำประกันประเภท 1 ส่วนใหญ่ยังเป็นฐานลูกค้าจากสถาบันการเงินยังมีศักยภาพในการจ่ายเบี้ย
